ประเภทของป่าไม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการกระจายของฝน
ระยะเวลาที่ฝนตกรวมทั้งปริมาณน้ำฝนทำให้ป่าแต่ละแห่งมีความชุ่มชื้นต่างกัน สามารถจำแนกได้เป็น 2
ประเภทใหญ่ ๆ คือ
ก.
ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen)
ข.
ป่าประเภทที่ผลัดใบ (Deciduous)
ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen)
ป่าประเภทนี้มองดูเขียวชอุ่มตลอดปี
เนื่องจากต้นไม้แทบทั้งหมดที่ขึ้นอยู่เป็นประเภทที่ไม่ผลัดใบ ป่าชนิดสำคัญซึ่งจัดอยู่ในประเภทนี้ ได้แก่
1. ป่าดงดิบ
(Tropical Evergreen Forest or Rain Forest)
ป่าดงดิบที่มีอยู่ทั่วในทุกภาคของประเทศ
แต่ที่มีมากที่สุด ได้แก่ ภาคใต้และภาคตะวันออก
ในบริเวณนี้มีฝนตกมากและมีความชื้นมากในท้องที่ภาคอื่น
ป่าดงดิบมักกระจายอยู่บริเวณที่มีความชุ่มชื้นมาก ๆ เช่น
ตามหุบเขาริมแม่น้ำลำธาร ห้วย แหล่งน้ำ และบนภูเขา ซึ่งสามารถแยกออกเป็นป่าดงดิบชนิดต่าง ๆ ดังนี้
1.1 ป่าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest)
เป็นป่ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปีมีพันธุ์ไม้หลายร้อยชนิดขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความสูง
600 เมตร
จากระดับน้ำทะเล ไม้ที่สำคัญก็คือ
ไม้ตระกูลยางต่าง ๆ เช่น ยางนา
ยางเสียน ส่วนไม้ชั้นรอง คือ พวกไม้กอ
เช่น กอน้ำ กอเดือย
1.2 ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest)
เป็นป่าที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบมีความชุ่มชื้นน้อย เช่น
ในแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300-600
เมตร ไม้ที่สำคัญได้แก่ มะคาโมง
ยางนา พยอม ตะเคียนแดง
กระเบากลัก และตาเสือ
สวนปาล์ม
1.3
ป่าดิบเขา (Hill Evergreen
Forest)
ป่าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูง ๆ หรือบนภูเขาตั้งแต่ 1,000-1,200
เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล ไม้ส่วนมากเป็นพวก Gymonosperm ได้แก่ พวกไม้ขุนและสนสามพันปี นอกจากนี้ยังมีไม้ตระกูลกอขึ้นอยู่ พวกไม้ชั้นที่สองรองลงมาได้แก่ เป้ง
สะเดาช้าง และขมิ้นต้น
2. ป่าสนเขา
(Pine Forest)
ป่าสนเขามักปรากฎอยู่ตามภูเขาสูงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสูงประมาณ
200-1800 เมตร
ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลในภาคเหนือ
ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
บางทีอาจปรากฎในพื้นที่สูง 200-300 เมตร
จากระดับน้ำทะเลในภาคตะวันออกเฉียงใต้
ป่าสนเขามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง
ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าชนิดนี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ
ส่วนไม้ชนิดอื่นที่ขึ้นอยู่ด้วยได้แก่พันธุ์ไม้ป่าดิบเขา เช่น
กอชนิดต่าง ๆ หรือพันธุ์ไม้ป่าแดงบางชนิด คือ เต็ง รัง
เหียง พลวง เป็นต้น
3. ป่าชายเลน
(Mangrove Forest)
บางทีเรียกว่า "ป่าเลนน้ำเค็ม"
หรือป่าเลน
มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นแต่ละชนิดมีรากค้ำยันและรากหายใจ
ป่าชนิดนี้ปรากฎอยู่ตามที่ดินเลนริมทะเลหรือบริเวณปากน้ำแม่น้ำใหญ่ ๆ
ซึ่งมีน้ำเค็มท่วมถึงในพื้นที่ภาคใต้มีอยู่ตามชายฝั่งทะเลทั้งสองด้าน
ตามชายทะเลภาคตะวันออกมีอยู่ทุกจังหวัดแต่ที่มากที่สุดคือ บริเวณปากน้ำเวฬุ อำเภอขลุง
จังหวัดจันทบุรี
พันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าชายเลน
ส่วนมากเป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กใช้ประโยชน์สำหรับการเผาถ่านและทำฟืนไม้ชนิดที่สำคัญ
คือ โกงกาง ประสัก ถั่วขาว
ถั่วขำ โปรง ตะบูน
แสมทะเล ลำพูนและลำแพน ฯลฯ
ส่วนไม้พื้นล่างมักเป็นพวก
ปรงทะเลเหงือกปลายหมอ ปอทะเล
และเป้ง เป็นต้น
4. ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด
(Swamp Forest)
ป่าชนิดนี้มักปรากฎในบริเวณที่มีน้ำจืดท่วมมาก
ๆ ดินระบายน้ำไม่ดีป่าพรุในภาคกลาง มีลักษณะโปร่งและมีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่าง ๆ เช่น
ครอเทียน สนุ่น จิก
โมกบ้าน หวายน้ำ หวายโปร่ง
ระกำ อ้อ และแขม ในภาคใต้ป่าพรุมีขึ้นอยู่ตามบริเวณที่มีน้ำขังตลอดปีดินป่าพรุที่มีเนื้อที่มากที่สุดอยู่ในบริเวณจังหวัดนราธิวาสดินเป็นพีท ซึ่งเป็นซากพืชผุสลายทับถมกัน เป็นเวลานานป่าพรุแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ
คือ ตามบริเวณซึ่งเป็นพรุน้ำกร่อยใกล้ชายทะเลต้นเสม็ดจะขึ้นอยู่หนาแน่นพื้นที่มีต้นกกชนิดต่าง
ๆ เรียก "ป่าพรุเสม็ด หรือ ป่าเสม็ด"
อีกลักษณะเป็นป่าที่มีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ
มากชนิดขึ้นปะปนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น