วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ


        วิธีการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ
  การอนุรักษ์น้ำ หมายถึงการป้องกันปัญหาที่พึงจะเกิดขึ้นกับน้ำ และการนำน้ำมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดำรงชีพของมนุษย์ การอนุรักษ์น้ำสามารถดำเนินการได้ดังนี้  


                       1.การปลูกป่า
                          โดยเฉพาะการปลูกป่าบริเวณพื้นที่ต้นน้ำ หรือบริเวณพื้นที่ภูเขา เพื่อให้ต้นไม้เป็นตัวกักเก็บน้ำตามธรรมชาติ ทั้งบนดินและใต้ดิน แล้วปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดปี
                      2.การพัฒนาแหล่งน้ำ
                         เนื่องจากปัจจุบันแหล่งน้ำธรรมชาติต่าง ๆ เกิดสภาพตื้นเขินเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ปริมาณน้ำที่จะกักขังไว้มีปริมาณลดลง การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อให้มีน้ำเพียงพอจึงจำเป็นต้องทำการขุดลอกแหล่งน้ำให้กว้างและลึกใกล้เคียงกับสภาพเดิมหรือมากกว่า ตลอดจนการจัดหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม อาจจะกระทำโดยการขุดเจาะน้ำบาดาลมาใช้ ซึ่งต้องระวังปัญหาการเกิดแผ่นดินทรุด หรือการขุดเจาะแหล่งน้ำผิวดินเพิ่มเติม
                      3.การสงวนน้ำไว้ใช้
                         เป็นการวางแผนการใช้น้ำเพื่อให้มีปริมาณน้ำที่มีคุณภาพมาใช้ประโยชน์ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การทำบ่อหรือสระเก็บน้ำ การหาภาชนะขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บน้ำฝน (เช่น โอ่งหรือแท็งก์น้ำ) รวมทั้งการสร้างอ่างเก็บน้ำ และระบบชลประทาน
                      4.การใช้น้ำอย่างประหยัด
                         เป็นการนำน้ำมาใช้ประโยชน์หลายอย่างอย่างต่อเนื่องและเกิดประโยชน์สูงสูด ทั้งด้านการอนุรักษ์น้ำและตัวผู้ใช้น้ำเอง กล่าวคือ สามารถลดค่าใช้จ่าย
เกี่ยวกับค่าน้ำลงได้ ปริมาณน้ำเสียที่จะทิ้งลงแหล่งน้ำมีปริมาณน้อยลง และป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำ

                      5.การป้องกันการเกิดมลพิษของน้ำ
                         ปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น หรือย่านอุตสาหกรรม การป้องกันปัญหามลพิษของน้ำ จะต้องอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือ และเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำอย่างเคร่งครัด
                      6.การนำน้ำที่ใช้แล้วกลับไปใช้ใหม่
                         น้ำที่ถูกนำไปใช้แล้ว ในบางครั้งยังมีสภาพที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นได้ เช่น น้ำจากการล้างภาชนะอาหารสามารถนำไปใช้รดน้ำต้นไม้ หรือน้ำจากการซักผ้าสามารถนำไปถูบ้าน สุดท้ายนำไปใช้รดน้ำต้นไม้ เป็นต้น







ทรัพยากรน้ำ


          น้ำเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อชีวิตคน พืช และสัตว์มากที่สุดแต่ก็มีค่าน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์และเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ความสำคัญของทรัพยากรน้ำ 

          1. ใช้สำหรับการบริโภคและอุปโภค เพื่อดื่มกิน ประกอบอาหาร ชำระร่างกาย ทำความสะอาด ฯลฯ
          2. ใช้สำหรับการเกษตร ได้ แก่ การเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ แหล่งน้ำเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ ซึ่งคนเราใช้เป็นอาหาร
          3. ด้านอุตสาหกรรม ต้องใช้น้ำในกระบวนการผลิต ล้างของเสีย หล่อเครื่องจักร และระบายความร้อน ฯลฯ
          4. การทำนาเกลือ โดยการระเหยน้ำเค็มจากทะเล หรือระเหยน้ำที่ใช้ละลายเกลือสินเธาว์
          5. น้ำเป็นแหล่งพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟ้า
          6. เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญ แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
          7. เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทัศนียภาพของริมฝั่งทะเล และแหล่งน้ำที่ใสสะอาดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของมนุษย์
 ประโยชน์ของน้ำ
  น้ำเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของสัตว์และพืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดน้ำได้ไม่เกิน 3 วัน และน้ำยังมีความจำเป็นทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้ำ ได้แก่
          - น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่เราใช้สำหรับการดื่มกิน การประกอบอาหาร ชำระร่างกาย ฯลฯ
          - น้ำมีความจำเป็นสำหรับการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ แหล่งน้ำเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ ซึ่งคนเราใช้เป็นอาหาร
          - ในการอุตสาหกรรม ต้องใช้น้ำในขบวนการผลิตใช้ล้างของเสียใช้หล่อเครื่องจักรและระบายความร้อน ฯลฯ
          - การทำนาเกลือโดยการระเหยน้ำเค็มจากทะเล
          - น้ำเป็นแหล่งพลังงาน พลังงานจากน้ำใช้ทำระหัด ทำเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าได้
          - แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญ
          - ทัศนียภาพของริมฝั่งทะเลและน้ำที่ใสสะอาดเป็นแหล่งท่องเที่ยวของมนุษย์  ปัญหาทรัพยากรน้ำ ที่สำคัญมีดังนี้
               1. เพิ่มปริมาณความต้องการใช้น้ำ ในปัจจุบันนอกจากการใช้น้ำเพื่อการบริโภคซึ่งเพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 30% ถึง 40% ในการผลิตอาหารของโลกจำเป็นต้องใช้น้ำจากการชลประทานภายในระยะเวลาประมาณ 15-20 ปีข้างหน้านี้ บริเวณพื้นที่ชลประทานจะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ของปริมาณ พื้นที่ในปัจจุบัน เพื่อที่จะผลิตอาหารให้ได้เพียงพอแก่จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น
               2. การกระจานน้ำไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพื้นที่ไม่เท่าเทียมกัน ในบางพื้นที่ของโลกเกิดฝน ตกหนักบ้านเรือนไร่นาเสียหาย แต่ในบางพื้นที่ก็แห้งแล้งขาดแคลนน้ำเพื่อการบริโภค และเพื่อการเพาะปลูก
    3. การเพิ่มมลพิษในน้ำ เนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์ เมื่อจำนวนประชากรมนุษย์เพิ่มมากขึ้น มนุษย์เป็นตัวการสำคัญที่เพิ่มมลพิษให้กับแหล่งน้ำต่าง ๆ โดยการปล่อยน้ำเสีย คราบน้ำมัน จากบ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรม การทิ้งขยะมูลฝอยลงไปในแหล่ง เป็นต้น ผลกระทบของน้ำเสียต่อสิ่งแวดล้อม

          - เป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อโรค เช่น อหิวาตกโรค บิด ท้องเสีย
          - เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงนำโรคต่าง ๆ
          - ทำให้เกิดปัญหามลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศ
          - ทำให้เกิดเหตุรำคาญ เช่น กลิ่นเหม็นของน้ำโสโครก
          - ทำให้เกิดการสูญเสียทัศนียภาพ เกิดสภาพที่ไม่น่าดู เช่น สภาพน้ำที่มีสีดำคล้ำไปด้วยขยะ และสิ่งปฎิกูล
          - ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ เช่น การสูญเสียพันธุ์ปลาบางชนิดจำนวนสัตว์น้ำลดลง
          - ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในระยะยาว









ทรัพยากรป่าไม้


ทรัพยากรป่าไม้


          อย่างป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต  ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์อื่น ๆ  เพราะป่าไม้มีประโยชน์ทั้งก ารเป็นแหล่งวัตถุดิบของปัจจัยสี่  คือ  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรคสำหรับมนุษย์ และยังมีประโยชน์ในการรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อม  ถ้าป่าไม้ถูกทำลายลงไปมาก ๆ  ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ  เช่น  สัตว์ป่า  ดิน  น้ำ  อากาศ  ฯลฯ เมื่อป่าไม้ถูกทำลาย  จะส่งผลไปถึงดินและแหล่งน้ำด้วย 
 เพราะเมื่อเผาหรือถางป่าไปแล้ว  พื้นดินจะโล่งขาดพืชปกคลุม  เมื่อฝนตกลงมาก็จะชะล้างหน้าดินและความอุดมสมบูรณ์ของดินไป  นอกจากนั้นเมื่อขาดต้นไม้คอยดูดซับน้ำไว้น้ำก็จะไหลบ่าท่วมบ้านเรือน และที่ลุ่มในฤดูน้ำหลากพอถึงฤดูแล้งก็ไม่มีน้ำซึมใต้ดินไว้หล่อเลี้ยงต้นน้ำลำธารทำให้แม่น้ำมีน้ำน้อย  ส่งผลกระทบต่อมาถึงระบบเศรษฐกิจและสังคม  เช่น  การขาดแคลนน้ำในการการชลประทานทำให้ทำนาไม่ได้ผลขาดน้ำมาผลิตกระแสไฟฟ้า

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความหมายของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ


                                         


เกริ่นนำ

      
  ประเทศไทยมีแหล่งธรรมชาติที่ควรอนรักษ์หลากหลายประเภท ได้มีการจัดแบ่งแหล่งธรรมชาติออกเป็น แหล่งธรรมชาติที่เคลื่อนไหว หมายถึง แหล่งธรรมชาติที่สามารถฟื้นคืนสภาพได้ เช่น ป่าไม้ ทุ่งหญ้า และแหล่งธรรมชาติที่เคลื่อนไหวไม่ได้ หมายถึง แหล่งธรรมชาติที่ไม่สามารถฟื้นคืนสภาพได้หากถูกทำลายไป เช่น ภูเขา ถ้ำ น้ำตก โป่งพุร้อน เกาะ แก่ง หาดทราย หาดหิน ทะเลสาบ หนอง บึง ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีสัณฐาน และภูมิลักษณวรรณา ฯลฯ แหล่งธรรมชาติบางแห่งมีคุณลักษณะพิเศษที่โดดเด่น บางแห่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหาได้ยาก หรือบางแห่งมีเรื่องเล่าสืบสานประวัติความเป็นมาของวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นบางแห่งมีคุณค่าความสำคัญในระดับประเทศ และบางแห่งมีคุณค่าความสำคัญและเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น จากคุณค่าความสำคัญดังกล่าว สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จึงได้รวบรวมข้อมูลแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 รวมทั้งสิ้น 2,362 แห่ง และคัดเลือกแหล่งธรรมชาติ จำนวน 263 แห่ง เสนอคณะรัฐมนตรีประกาศให้เป็นแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 และในปี พ.ศ. 2547 สผ. ได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิยาลัย สำรวจแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์เพิ่มเติม ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 4,700 แห่ง บางแห่งที่เคยสำรวจพบว่ามีคุณค่าความสำคัญขณะนี้อาจอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม หรือถูกทำลายจนลดคุณค่าความสำคัญลงและบางแห่งอาจมีคุณค่าความสำคัญในระดับประเทศแต่ยังไม่ได้ประกาศให้เป็นแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ของท้องถิ่น
        แหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ของท้องถิ่นได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านนันทนาการ ด้านการศึกษา ฯลฯ แต่ในปัจจุบันแหล่งธรรมชาติได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งหลายฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปให้ความสนใจ และพยายามผลักดันเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน
ความหมายของแหล่งธรรมชาติ
        แหล่งธรรมชาติในที่นี้หมายถึง สิ่งที่มีอยู่และเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีสภาพและการเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลา มีระบบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในตัวเองด้วยปัจจัยต่างๆ กัน และองค์ประกอบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจค่อยเป็นค่อยไปจนยากที่จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นๆ แต่ในระยะยาว อาจตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ และในบางครั้งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจรวดเร็วจนเห็นได้ชัด แล้วแต่กรณี มนุษย์อาจใช้บางสิ่งของแหล่งธรรมชาติให้เกิดประโยชน์กับตนเองได้ และมักเรียกแหล่งธรรมชาติประเภทนั้นว่า ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แร่ ก๊าซ ถ่านหิน หรือน้ำมันใต้ดิน ป่าไม้ ปลาในน้ำ เป็นต้น แต่ผลจากการใช้ประโยชน์ของมนุษย์อาจทำให้เกิดการสูญสลายของแหล่งธรรมชาตินั้นได้ ถ้าปราศจากความเข้าใจในการใช้ทรัพยากรนั้นๆ แต่เดิมการใช้ประโยชน์จากแหล่งธรรมชาติยังมีน้อย จึงทำให้คนส่วนใหญ่ละเลยไม่ได้ให้ความสนใจกับแหล่งธรรมชาติทั่วๆ ไป มักมุ่งเน้นแต่เฉพาะแหล่งธรรมชาติที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น แต่ในปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติเหลือน้อยลง และแหล่งธรรมชาติอื่นๆ ถูกใช้ประโยชน์มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการทำลายแหล่งธรรมชาติโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
        รัฐบาลในหลายประเทศได้เห็นแนวโน้มของการทำลายแหล่งธรรมชาติ ซึ่งนับวันจะเพิ่มมากขึ้นตามสภาพการพัฒนาต่างๆ ดังนั้นจึงเกิดความสนใจ และได้ร่วมมือกันหาแนวทางในการอนุรักษ์แหล่งธรรมชาติต่างๆ มากขึ้น ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของแหล่งธรรมชาติ และได้เริ่มทำการอนุรักษ์แหล่งธรรมชาติที่สำคัญ โดยกรมป่าไม้ (ปัจจุบันคือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช) ได้เริ่มดำเนินการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติขึ้นเป็นแห่งแรกที่ป่าภูกระดึง จังหวัดเลย ตั้งแต่ พ.ศ. 2486 แต่เนื่องจากการขาดแคลนงบประมาณและเจ้าหน้าที่ จึงไม่สามารถดำเนินการจนสมบูรณ์ได้ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีความสนใจในการคุ้มครองแหล่งธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าไม้ จึงได้เสนอคณะรัฐมนตรี ด่วนมากที่ กษ 2206/2502 ลงวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2502 ยืนยันไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่องการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ ว่านายกรัฐมนตรีมีความปรารถนาที่จะจัดให้มีอุทยานแห่งชาติขึ้นและจะต้องดำเนินการให้สำเร็จ และให้รีบดำเนินการประกาศ และจัดทำร่างพระราชบัญญัติที่จะใช้บังคับต่อไปดดยด่วน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาประเทศไทยจึงได้มีกฎหมายคุ้มครองพื้นที่แหล่งธรรมชาติขึ้น โดยมีการประกาศอุทยานแห่งแรกคือ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระบุรี และนครราชสีมา ซึ่งได้มีการประกาศบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 กันยายน พศ.ศ 2505 ใช้เวลาดำเนินการอย่างเร่งด่วนทั้งสิ้นเป็นเวลา 3 ปีเต็ม       

     

   ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่แหล่งธรรมชาติที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอนุรักษ์แล้ว ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนใหญ่ ประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติทางบกและทาางทะเล จำนวน 140 แห่ง  แบ่งเป็นอุทยานแห่งชาติทางบก 116 แห่ง และทางทะเลอีก 24 แห่ง เขตรักษาสัตว์ป่า จำนวน 55 แห่ง วนอุทยาน จำนวน 69 แห่ง และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า


ลักษณะภูมิประเทศ




ประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่หาดทราย ชายฝั่งทะเล หมู่เกาะ ที่ราบลุ่ม ที่ราบสูง จนถึงยอดเขาสูงถึง 2,500 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง จึงทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง
เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่บริเวณเขตศูนย์สูตร ป่าไม้จึงมีสภาพแบบป่าเขตร้อน ซึ่งจัดเป็นแหล่งพันธุกรรมที่หลากหลายที่สุด และเป็นแหล่งทรัพยากรอันทรงคุณค่ามหาศาลของโลก สังคมป่าเขตร้อนของไทยประกอบด้วยป่าดิบและป่าผลัดใบชนิดต่างๆ เชื่อมต่อระหว่างป่าเขตร้อนชื้นอย่างแท้จริงของประเทศมาเลเซีย และป่าดิบแล้งซึ่งปรากฏส่วนใหญ่ในประเทศไทย ลาว พม่า และเขมร ทำให้ประเทศไทยมีพรรณไม้ที่มีค่าของสังคมป่าทั้ง 2 ประเภทเป็นจำนวนมาก เช่น พรรณไม้ในวงศ์ไม้ยางที่มีอยู่มากกว่า 50 ชนิด ซึ่งเป็นพรรณไม้ที่ปรากฏเฉพาะในภูมิภาคนี้เท่านั้น
สำหรับสัตว์ป่านั้น แม้ในปัจจุบันนี้จำนวนจะลดน้อยลงไปมากแล้ว แต่ผืนป่าอนุรักษ์ของไทยหลายแห่งก็ยังมีสัตว์ป่าชุกชุมอยู่ เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และผืนป่าฮาลา-บาลาทางภาคใต้ เป็นต้น และจากความสมบูรณ์ของผืนป่า ทำให้ประเทศไทยมีแหล่งน้ำที่อุดมไปด้วยพันธุ์สัตว์น้ำมากมาย มีแหล่งน้ำทางธรรมชาติ ทั้งแม่น้ำและลำคลองอยู่มากมายแทบทุกภูมิภาค อีกทั้งยังมีแหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น อ่างเก็บน้ำและเขื่อนอีกหลายแห่งด้วย
นอกจากนี้ ภายในพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 350,000 ตารางกิโลเมตรของท้องทะเลไทย ยังมีน้ำทะเลที่สวยใส สะอาด หาดทรายขาวละเอียด มีทรัพยากรและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่อุดมสมบูรณ์สวยงาม มีความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งมีแนวปะการังขนาดใหญ่ที่มีสภาพสมบูรณ์ และงดงามโด่งดังติดอันดับโลก มีจุดดำน้ำตื้นและจุดดำน้ำลึกที่มีชื่อเสียงอยู่หลายแห่ง ทั้งในฝั่งทะเลอันดามันและฝั่งทะเลอ่าวไทย รวมทั้งมีเกาะใหญ่น้อยเป็นจำนวนมาก ให้เดินทางท่องเที่ยวกันได้ตลอดทั้งปี โดยมีฤดูท่องเที่ยวผลัดกันฝั่งละ 6 เดือน


แหล่งน้ำ



 





        ฟยอร์ดในประเทศนอร์เวย์
แหล่งน้ำ หรือ พื้นที่น้ำในภาษาอังกฤษใช้คำว่า วอเตอร์บอดี (waterbody) คือบริเวณที่มีการสะสมของน้ำบนพื้นผิวโลกหรือบนผิวดาวเคราะห์ เช่น มหาสมุทร ทะเล แม่น้ำ ไปจนถึง คลอง หรือ พื้นที่ชุ่มน้ำ
 แหล่งน้ำแบ่งได้เป็นสองประเภทตามการกำเนิดคือ แหล่งน้ำที่เกิดโดยธรรมชาติเช่น มหาสมุทร ทะเล แม่น้ำ และแหล่งน้ำที่เกิดจากการสร้างโดยมนุษย์เช่น อ่างเก็บน้ำ คลอง นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งได้ตามการเคลื่อนที่ของน้ำ เช่น แม่น้ำ และคลอง กล่าวถึงแหล่งน้ำมีการไหลจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ในขณะที่ ทะเลสาบ น้ำจะไม่มีการไหลไปแหล่งอื่น แหล่งน้ำที่มีการสัญจรจะถูกเรียกว่าทางน้ำ สำหรับส่วนบริเวณของภูมิประเทศที่มีน้ำเป็นจำนวนหนึ่งแต่ไม่เรียกว่าแหล่งน้ำเช่น น้ำตก และไกเซอร์

ประเภทของป่าไม้ในประเทศไทย


                                                      




     ประเภทของป่าไม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการกระจายของฝน  ระยะเวลาที่ฝนตกรวมทั้งปริมาณน้ำฝนทำให้ป่าแต่ละแห่งมีความชุ่มชื้นต่างกัน  สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
 ก.  ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ  (Evergreen)
 ข.  ป่าประเภทที่ผลัดใบ (Deciduous)
 ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen)

        ป่าประเภทนี้มองดูเขียวชอุ่มตลอดปี  เนื่องจากต้นไม้แทบทั้งหมดที่ขึ้นอยู่เป็นประเภทที่ไม่ผลัดใบ  ป่าชนิดสำคัญซึ่งจัดอยู่ในประเภทนี้  ได้แก่

1.  ป่าดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest)

ป่าดงดิบที่มีอยู่ทั่วในทุกภาคของประเทศ แต่ที่มีมากที่สุด  ได้แก่  ภาคใต้และภาคตะวันออก  ในบริเวณนี้มีฝนตกมากและมีความชื้นมากในท้องที่ภาคอื่น  ป่าดงดิบมักกระจายอยู่บริเวณที่มีความชุ่มชื้นมาก ๆ  เช่น  ตามหุบเขาริมแม่น้ำลำธาร  ห้วย  แหล่งน้ำ และบนภูเขา  ซึ่งสามารถแยกออกเป็นป่าดงดิบชนิดต่าง ๆ  ดังนี้

     1.1  ป่าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest)
เป็นป่ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปีมีพันธุ์ไม้หลายร้อยชนิดขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความสูง 600 เมตร  จากระดับน้ำทะเล  ไม้ที่สำคัญก็คือ ไม้ตระกูลยางต่าง ๆ  เช่น  ยางนา  ยางเสียน  ส่วนไม้ชั้นรอง คือ  พวกไม้กอ  เช่น  กอน้ำ  กอเดือย

     1.2  ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest)
        เป็นป่าที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบมีความชุ่มชื้นน้อย  เช่น  ในแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300-600 เมตร  ไม้ที่สำคัญได้แก่  มะคาโมง  ยางนา  พยอม  ตะเคียนแดง  กระเบากลัก และตาเสือ
สวนปาล์ม     1.3  ป่าดิบเขา (Hill  Evergreen Forest)
        ป่าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูง ๆ หรือบนภูเขาตั้งแต่ 1,000-1,200 เมตร  ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล  ไม้ส่วนมากเป็นพวก Gymonosperm  ได้แก่  พวกไม้ขุนและสนสามพันปี  นอกจากนี้ยังมีไม้ตระกูลกอขึ้นอยู่  พวกไม้ชั้นที่สองรองลงมาได้แก่  เป้ง  สะเดาช้าง และขมิ้นต้น
2.  ป่าสนเขา (Pine Forest)
ป่าสนเขามักปรากฎอยู่ตามภูเขาสูงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสูงประมาณ 200-1800 เมตร  ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลในภาคเหนือ  ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  บางทีอาจปรากฎในพื้นที่สูง 200-300 เมตร  จากระดับน้ำทะเลในภาคตะวันออกเฉียงใต้  ป่าสนเขามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง  ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าชนิดนี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ  ส่วนไม้ชนิดอื่นที่ขึ้นอยู่ด้วยได้แก่พันธุ์ไม้ป่าดิบเขา  เช่น  กอชนิดต่าง ๆ หรือพันธุ์ไม้ป่าแดงบางชนิด คือ เต็ง  รัง  เหียง  พลวง  เป็นต้น

3.  ป่าชายเลน (Mangrove Forest)
บางทีเรียกว่า "ป่าเลนน้ำเค็ม" หรือป่าเลน  มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นแต่ละชนิดมีรากค้ำยันและรากหายใจ  ป่าชนิดนี้ปรากฎอยู่ตามที่ดินเลนริมทะเลหรือบริเวณปากน้ำแม่น้ำใหญ่ ๆ  ซึ่งมีน้ำเค็มท่วมถึงในพื้นที่ภาคใต้มีอยู่ตามชายฝั่งทะเลทั้งสองด้าน  ตามชายทะเลภาคตะวันออกมีอยู่ทุกจังหวัดแต่ที่มากที่สุดคือ  บริเวณปากน้ำเวฬุ  อำเภอขลุง  จังหวัดจันทบุรี
พันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าชายเลน  ส่วนมากเป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กใช้ประโยชน์สำหรับการเผาถ่านและทำฟืนไม้ชนิดที่สำคัญ คือ โกงกาง  ประสัก  ถั่วขาว  ถั่วขำ  โปรง  ตะบูน  แสมทะเล  ลำพูนและลำแพน  ฯลฯ  ส่วนไม้พื้นล่างมักเป็นพวก  ปรงทะเลเหงือกปลายหมอ  ปอทะเล และเป้ง  เป็นต้น

4.  ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด (Swamp Forest)

ป่าชนิดนี้มักปรากฎในบริเวณที่มีน้ำจืดท่วมมาก ๆ  ดินระบายน้ำไม่ดีป่าพรุในภาคกลาง  มีลักษณะโปร่งและมีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่าง ๆ  เช่น  ครอเทียน  สนุ่น  จิก  โมกบ้าน  หวายน้ำ  หวายโปร่ง  ระกำ  อ้อ และแขม  ในภาคใต้ป่าพรุมีขึ้นอยู่ตามบริเวณที่มีน้ำขังตลอดปีดินป่าพรุที่มีเนื้อที่มากที่สุดอยู่ในบริเวณจังหวัดนราธิวาสดินเป็นพีท  ซึ่งเป็นซากพืชผุสลายทับถมกัน  เป็นเวลานานป่าพรุแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ ตามบริเวณซึ่งเป็นพรุน้ำกร่อยใกล้ชายทะเลต้นเสม็ดจะขึ้นอยู่หนาแน่นพื้นที่มีต้นกกชนิดต่าง ๆ เรียก "ป่าพรุเสม็ด หรือ ป่าเสม็ด"  อีกลักษณะเป็นป่าที่มีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ  มากชนิดขึ้นปะปนกัน

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของทรัพยากรป่าไม้


 



 ป่าไม้มีประโยชน์มากมายต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม  ได้แก่.
ประโยชน์ทางตรง (Direct Benefits)

ได้แก่  ปัจจัย 4 ประการ
1.  จากการนำไม้มาสร้างอาคารบ้านเรือนและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ  เช่น  เฟอร์นิเจอร์  กระดาษ  ไม้ขีดไฟ  ฟืน  เป็นต้น
2.  ใช้เป็นอาหารจากส่วนต่าง ๆ ของพืชและผล
3.  ใช้เส้นใย  ที่ได้จากเปลือกไม้และเถาวัลย์มาถักทอ  เป็นเครื่องนุ่งห่ม  เชือกและอื่น ๆ
4.  ใช้ทำยารักษาโรคต่าง ๆ
ประโยชน์ทางอ้อม (Indirect Benefits)
1.  ป่าไม้เป็นเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารเพราะต้นไม้จำนวนมากในป่าจะทำให้น้ำฝนที่ตกลงมาค่อย ๆ  ซึมซับลงในดิน  กลายเป็นน้ำใต้ดินซึ่งจะไหลซึมมาหล่อเลี้ยงให้แม่น้ำ  ลำธารมีน้ำไหลอยู่ตลอดปี
2.  ป่าไม้ทำให้เกิดความชุ่มชื้นและควบคุมสภาวะอากาศ  ไอน้ำซึ่งเกิดจากการหายใจของพืช  ซึ่งเกิดขึ้นอยู่มากมายในป่าทำให้อากาศเหนือป่ามีความชื้นสูงเมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงไอน้ำเหล่านั้นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นเมฆแล้วกลายเป็นฝนตกลงมา  ทำให้บริเวณที่มีพื้นป่าไม้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ  ฝนตกต้องตามฤดูกาลและไม่เกิดความแห้งแล้ง
3.  ป่าไม้เป็นแหล่งพักผ่อนและศึกษาความรู้ บริเวณป่าไม้จะมีภูมิประเทศที่สวยงามจากธรรมชาติรวมทั้งสัตว์ป่าจึงเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจได้ดี  นอกจากนั้นป่าไม้ยังเป็นที่รวมของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์จำนวนมาก  จึงเป็นแหล่งให้มนุษย์ได้ศึกษาหาความรู้
4.  ป่าไม้ช่วยบรรเทาความรุนแรงของลมพายุและป้องกันอุทกภัย โดยช่วยลดความเร็วของลมพายุที่พัดผ่านได้ตั้งแต่  ๑๑-๔๔  %  ตามลักษณะของป่าไม้แต่ละชนิด  จึงช่วยให้บ้านเมืองรอดพ้นจากวาตภัยได้ซึ่งเป็นการป้องกันและควบคุมน้ำตามแม่น้ำไม่ให้สูงขึ้นมารวดเร็วล้นฝั่งกลายเป็นอุทกภัย
5.  ป่าไม้ช่วยป้องกันการกัดเซาะและพัดพาหน้าดิน  จากน้ำฝนและลมพายุโดยลดแรงปะทะลงการหลุดเลือนของดินจึงเกิดขึ้นน้อย และยังเป็นการช่วยให้แม่น้ำลำธารต่าง ๆ  ไม่ตื้นเขินอีกด้วย  นอกจากนี้ป่าไม้จะเป็นเสมือนเครื่องกีดขวางตามธรรมชาติ  จึงนับว่ามีประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์ด้วยเช่นกั

การอนุรักษ์ป่าไม้


 



     ป่าไม้ถูกทำลายไปจำนวนมาก  จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศไปทั่วโลกรวมทั้งความสมดุลในแง่อื่นด้วย  ดังนั้น  การฟื้นฟูสภาพป่าไม้จึงต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน  ทั้งภาครัฐภาคเอกชนและประชาชน  ซึ่งมีแนวทางในการกำหนดแนวนโยบายด้านการจัดการป่าไม้  ดังนี้
    1.  นโยบายด้านการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้
    2.  นโยบายด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เกี่ยวกับงานป้องกันรักษาป่าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสันทนาการ
    3.  นโยบายด้านการจัดการที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ในท้องถิ่น
    4.  นโยบายด้านการพัฒนาป่าไม้  เช่น  การทำไม้และการเก็บหาของป่า  การปลูก และการบำรุงป่าไม้  การค้นคว้าวิจัย และด้านการอุตสาหกรรม
    5.  นโยบายการบริหารทั่วไปจากนโยบายดังกล่าวข้างต้นเป็นแนวทางในการพัฒนาและการจัดการทรัพยากรป่าไม้ของชาติให้ได้รับผลประโยชน์  ทั้งทางด้านการอนุรักษ์และด้านเศรษฐกิจอย่างผสมผสานกัน  ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสมดุลของธรรมชาติและมีทรัพยากรป่าไม้ไว้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
 มีกิจกรรมหลายอย่างที่จะดำเนินการในพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ  ได้แก่
1.  การพัฒนาป่าธรรมชาติในพื้นที่ ๆ  ยังมีป่าธรรมชาติปกคลุมสามารถวางโครงการทำป่าไม้ต่าง ๆ  และป่าไม้ชุมชนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมและการใช้สอยในครัวเรือนของราษฎรได้
2.  การพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ ๆ  ว่างเปล่าสามารถพัฒนาโดยให้รัฐและเอกชนทำการปลูกป่าในพื้นที่ ๆ ว่างเปล่า  เพื่อผลิตไม้ในภาคอุตสาหกรรมและใช้สอยในครัวเรือน
3.  การพัฒนาตามหลักศาสตร์ชุมชนใช้พื้นที่ป่าเศรษฐกิจในโครงการพระราชดำริโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงโครงการหมู่บ้านป่าไม้และโครงการ  สกท.
4.  การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ  ใช้พื้นที่เขตป่าเศรษฐกิจดำเนินงานในกิจกรรมเหมืองแร่ระเบิดหินย่อย และขอใช้ประโยชน์อื่น ๆ


ความหลากหลายทางชีวภาพในป่าธรรมชาติ


 

           ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biological diversidy) บนโลกเรานั้นมีเป็นจำนวนมากซึ่งจะสังเกตเห็นง่ายๆ ได้จากการที่มีชนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์มากมายซึ่งมีรูปร่างลักษณะ แตกต่างกัน พบอยู่กระจัดกระจายทั่วไป ตามแหล่งธรรมชาติต่างๆ ทั่วโลก สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ เหล่านี้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าและสำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอด ของมนุษย์เรา โดยที่ส่วนหนึ่งมนุษย์เราได้รู้จักและนำมาใช้ประโยชน์เป็นปัจจัยสี่แล้ว แต่ส่วนใหญ่มนุษย์เรายังไม่รู้จักและยังไม่ได้ทำการศึกษาและนำมาใช้ให้เกิด ประโยชน์สูงสุดเลย ปัจจุบันพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ต่างๆ กำลังถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากมนุษย์มีอัตราการเพิ่มประชากรรวดเร็ว มากและมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่ทำกินเพิ่มขึ้น จึงได้เข้าไปทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตจนลดจำนวนลงไป ทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณป่าเขตร้อนของโลก ซึ่งคาดว่าเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์พืชและสัตว์ต่างๆ ไว้จำนวนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของที่มีในโลก กำลังมีอัตราการถูกทำลายอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าแหล่งธรรมชาติอื่นๆ

การที่โลกเรามีจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตมากมายมหาศาล และมีพื้นที่ที่อยู่อาศัยกว้างขวางมาก ประกอบกับการให้การสนใจศึกษาสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทแตกต่างกัน จึงทำให้มนุษย์ยังไม่ทราบแน่นอนว่า มีสิ่งมีชีวิตทั้งหมดกี่ชนิดในโลก Erwin (1983) ประมาณว่าเฉพาะแมลงอย่างเดียวในป่าดิบชื้นของโลกอาจมีจำนวนสูงถึง 30 ล้านชนิด ซึ่งจากตัวเลขนี้ทำให้นักชีววิทยาหลายท่านคาดว่าถ้าเป็นตัวเลขใกล้เคียงกับ ความจริงแล้ว จะยังมีจำนวนสิ่งมีชีวิตอีกหลายบริเวณที่มนุษย์ยังไม่ได้ทำการศึกษาค้นคว้า ถึงจำนวนของสิ่งมีชีวิตอย่างจริงจัง เช่น บริเวณพื้นก้นมหาสมุทร บริเวณเขตปะการัง และบริเวณใต้ดินของป่าเขตร้อน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม Wilson (1988) ได้ให้ความเห็นภายหลังที่ได้รวบรวมหลักฐานจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ว่าตัวเลขจริงของจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตน่าจะอยู่ระหว่าง 5 – 30 ล้านชนิด ในจำนวนนี้มีสิ่งมีชีวิตที่ถูกค้นพบและถูกตั้งชื่อวิทยาศาสตร์แล้วประมาณ 1.4 ล้านชนิดเท่านั้น (Parker, 1982) ซึ่งเป็นพืชพวกที่มีท่อลำเลียงจำนวนประมาณ 230,000 ชนิด สัตว์มีกระดูกสันหลังประมาณ 41,000 ชนิด แมลงประมาณ 750,000 ชนิด และที่เหลืออีกประมาณ 379,000 ชนิด เป็นสัตว์พวกไม่มีกระดูกสันหลัง เห็ด รา สาหร่าย และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอื่นๆ ประมาณว่าในบรรดาพืชพวกที่มีท่อลำเลียง มนุษย์ได้นำมาใช้ประโยชน์แล้วกว่า 7,000 ชนิด และในจำนวนนี้มีประมาณ 20 ชนิด ที่เป็นพืชอาหารหลักของมนุษย์ จากตัวเลขข้างต้นจะเห็นได้ว่ายังมีสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์เรายังไม่ได้ศึกษา และรู้จักอีกเป็นจำนวนมาก และที่แน่นอนที่สุดยังมีประโยชน์ที่มนุษย์เราจะได้รับอีกมากมายจากความหลาก หลายเหล่านี้

จากข้อมูลการสำรวจความหลากหลายของชนิดของพืชและสัตว์ในป่าธรรมชาติของไทยพบว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายอยู่ในลำดับสูงมากแห่งหนึ่งของโลก ประเทศไทยซึ่งมีขนาดเพียง 0.36 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่บกของโลก แต่ปรากฏว่ามีความหลากหลายของสัตว์มีกระดูกสันหลังและพืชพวกที่มีท่อลำเลียงสูงตั้งแต่ 2.6 – 10.1 เปอร์เซ็นต์ ของที่มีในโลก  สัตว์บางประเภท เช่น สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งพบว่ามีจำนวนน้อย คือมีประมาณ 2.6 เปอร์เซ็นต์ ของสัตว์ประเภทนี้ในโลกก็เป็นที่คาดกันว่าน่าจะมีตัวเลขจริงสูงกว่านี้ เพราะสัตว์ประเภทนี้ยังไม่ได้รับการสนใจศึกษาและค้นหาอย่างจริงจังเลย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ป่าธรรมชาติของไทยมีความหลากหลายของพันธุ์พืชและสัตว์ในปริมาณสูงมีหลายประการ ประการแรกคือ ประเทศไทยตั้งอยู่ในโซนร้อนเหนือเส้นศูนย์สูตรเล็กน้อยและอยู่ติดทะเล จึงมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการอยู่รอด การเจริญเติบโต และการแพร่พันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหลายชนิดตลอดปี อย่างไรก็ตามสภาพภูมิอากาศจะแตกต่างกันบ้างในภาคต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งของภาคและความสูงต่ำของพื้นที่ แต่โดยรวมแล้วสภาพภูมิอากาศของไทยจะไม่เปลี่ยนแปลงรุนแรงและรวดเร็วมากเหมือนในเขตอบอุ่นและเขตหนาว จึงไม่เป็นปัจจัยจำกัดในการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิต ประการที่สองสภาพภูมิประเทศในภาคต่างๆ ของไทยมีความแตกต่างกัน เช่น ภาคเหนือเป็นเขาสูง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ราบสูง ภาคกลางเป็นที่ราบลุ่ม ส่วนภาคใต้เป็นเขาสูงสลับกับที่ราบ และมีลมมรสุมพัดผ่านตลอดปี สภาพความหลากหลายของภูมิประเทศและดินฟ้าอากาศดังกล่าว ได้เอื้ออำนวยให้เกิดความหลากหลายของป่าธรรมชาติไม่ต่ำกว่า 12 ประเภท ตัวอย่างเช่น ป่าดิบเขา ป่าสนเขา ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น ป่าพรุ ป่าชายเลน เป็นต้น ซึ่งป่าแต่ละประเภทก็จะมีลักษณะเฉพาะตัว และมีพันธุ์พืชและสัตว์แตกต่างกันไปบ้างไม่มากก็น้อยด้วย ประการที่สาม ประเทศไทยตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางที่มีการกระจายพันธุ์ของพืชและสัตว์เข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านรอบด้าน เช่น ทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือจะได้รับอิทธิพลจากพม่า จากเทือกเขาหิมาลัย และจากจีนตอนใต้ ส่วนทางภาคใต้จะได้รับอิทธิพลจากมาเลเซีย เป็นต้น จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งที่รวบรวมเอาความหลากหลายทางชีวภาพไว้มากที่สุดแห่งหนึ่ง


ความหลากหลายของทรัพยากรพืชและสัตว์ของไทย จะอำนวยประโยชน์ให้กับปวงชนของชาติได้อีกคณานับ หากเรามีมาตราการที่แน่นอนและเหมาะสมในการป้องกันรักษาความหลากหลายเหล่านี้ ทุกชนิดไว้เพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้า เพราะพืชและสัตว์ไม่ว่าชนิดใดจะเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบนิเวศน์ และนำมาซึ่งความสมดุลในระบบ นักนิเวศวิทยาเชื่อว่า บริเวณที่มีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตสูงบริเวณนั้นจะมีความสมดุลในระบบ บสูง นั่นคือสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าพืชหรือสัตว์ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จะมีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงในระบบ เนื่องจากสิ่งมีชีวิตจะมีความเกี่ยวพันกันเป็นลูกโซ่หรือเป็นสายใยที่ซับ ซ้อนภายในระบบ คือมีการถ่ายทอดพลังงานโดยการกินกันเป็นทอดๆ มีการพึ่งพาอาศัยเกื้อกูลให้ประโยชน์ต่อกันและกัน และมีการควบคุมกันเองให้มีจำนวนพอเหมาะไม่มากไม่น้อยเกินไปด้วย การที่สิ่งมีชีวิตมีความผูกพันกันดังกล่าว ถ้ามีสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งสูญพันธุ์ไป ก็จะต้องกระทบกระเทือนถึงสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นโดยเฉพาะชนิดที่มีความสัมพันธ์ ใกล้ชิดกันด้วย แต่การกระทบกระเทือนจะรุนแรงน้อยกว่าในระบบหรือบริเวณที่มีความหลากหลายของ สิ่งมีชีวิตสูงกว่า